เหตุเพราะความประมาท
ผมรู้จักกับเขา ตั้งแต่มาทำงานใหม่ๆ ครอบครัวของคนงานที่ยากจน แต่ไม่ย่อท้อ หนักเอาเบาสู้ ปากกัดตีนถีบ ข้อดีของเขามีไม่น้อย แต่เมื่อดื่มสุรา เขาจะมีพฤติกรรม เป็นคนละคนไป
ผู้เข้าชมรวม
32
ผู้เข้าชมเดือนนี้
0
ผู้เข้าชมรวม
เหตุเพราะความประมาท
ช่วงที่ผมมาบรรจุเป็นข้าราชการใหม่ๆ ผมได้เข้ามาพักอยู่ที่หมู่บ้านกลุ่มที่สอง ในละแวกบ้านพักของอาจารย์กลุ่มนี้มีบ้านพักคนงาน 1 หลัง ซึ่งมีนายชูวิทย์และครอบครัวพักอาศัย ในบ้านพักที่เขาพักมีพ่อของตนเอง มีภริยาชื่อพร และลูกสาวอีกสามคน ซึ่งกำลังอยู่ในวัยเด็กพักอาศัย คนโตชื่ออิงอายุ 7 ขวบคนกลางชิ่อ เอม อายุ 6 ขวบและคนสุดท้องชื่ออาย อายุ 4 ขวบ สภาพของครอบครัวนี้มีฐานะค่อนข้างอัตคัดอย่างมาก เป็นเพราะภายในบ้านมีเพียงพ่อบ้านคนเดียวเท่านั้นที่มีรายได้จากการรับเงินเดือน เดือนละเพียงพันกว่าบาทเท่านั้น ลุงอาจซึ่งเป็นพ่อรู้สึกเห็นใจลูกชาย จึงช่วยหารายได้จากการเข็นรถขายกาแฟโบราณในชุมชนนั้นๆ
“กาแฟเย็น ถุงนึง..ครับ ” ผมสั่ง เพื่อช่วยให้กำลังใจพ่อของเพื่อนร่วมงานในที่เดียวกัน
“เอาหวานมั้ย..ครับ ” ลุงอาจถาม
“พอดีๆครับลุง”
ทุกๆเช้าเวลา 07.30 น. ลุงอาจจะมาเตรียมอุปกรณ์ เพื่อจะเข็นรถไปขายเครื่องดื่ม จุดแรกคือแกจะเข็นมาจอดบนถนนใกล้สามแยกทางเข้าหมู่บ้าน ผมมักจะอุดหนุนลุงอาจเสมอ กาแฟโบราณที่ชงขายเป็นกาแฟชนิดที่คั่วเอง โดยสั่งซื้อเป็นปี๊บจากกรุงเทพ
“รถเข็นของลุง สั่งทำที่ไหน..?หรือครับ” ผมถาม
“ลูกชาย เขาทำให้น่ะ ”ลุงอาจพุูด
ลุงอาจ..มาอยู่บ้านของพี่ชูวิทย์เพียงแค่ระยะแรกเท่านั้น เขายังมีลูกชายคนโตที่เป็นพนักงานขับรถให้นายอำเภอสองผัวเมียคู่รักหักสวาทระหว่างพี่ชูวิทย์กับพี่พร จะมีการวิวาทะเมื่อหลังอาหารมื้อค่ำหลังร่ำสุราเสร็จจนถึงขั้นลงไม้ลงมืกันเนืองๆจนอาจารย์ที่พักอยู่ใกล้ๆบริเวณนั้นต่างรู้สึกเบื่อหน่ายถึงขั้นต้องปรามไว้
“ถ้ายังส่งเสียงอึกทึกทะเลาะกันอีก ผมจะนำเรื่องแจ้งให้ผู้อำนวยการเรียกไปพบนะ ”อ.โด่ง พูด
“ครับ ผมจะไม่ทำอีกแล้ว”พี่ชูวิทย์ตอบ
“อะไรกัน มีลูกเต้าแล้ว ยังมาทะเลาะไม่เว้นแต่ละวัน ลูกๆจะมีปมด้อยเอา” อ.โด่งพูด
ชูวิทย์เป็นคนจากภาคกลางเป็นคนสุภาพ พูดน้อย ขยันทำงาน เรียกใช้งานง่าย เขามีความสามารถและทักษะงานช่างได้เกือบทุกอย่าง นับแต่เดินสายไฟฟ้า ซ่อม-แก้ไขปัญหาระบบไฟ ในวิทยาลัย เป็นช่างประปา ช่าง-เชื่อม รวมทั้งขับรถแทรคเตอร์-รถยนต์ ได้ดี เวลานั้นเขาได้ทำงานในตำแหน่งนักการภารโรง ที่สามารถทำงานได้หลายแขนง ช่วงเวลาทำงานปกติ เขาไม่มีท่าทีเลยว่าจะเป็นคนดุร้าย บ่อยๆครั้ง ทีใครๆเห็นเขากับภริยที่กระเตงลูกไปตลาด หรือไปงานวัด ดูแล้วมีความรักความอบอุ่นอย่างไม่น่าจะเป็นได้เลย
**** ***************
ช่วงที่ผมพักในหมู่บ้านกลุ่มสองผมมักจะแวะมาที่บ้านพักของพี่ชูวิทย์ เพื่อพูดคุยแลกเปลี่ยนและดูสภาพความเป็นอยู่ของชีวิตนักการภารโรงที่มีลูกสาว(สามใบเถา)ล้วนๆทั้งสามคน และทุกคนกำลังอยู่ในวัยกำลังกินกำลังนอน
“เมียผม ..ก็อาศัยปลูกผักสวนครัวไว้กินเอง นี่ได้เมล็ดพันธุ์ผักหลายชนิดจากเพื่อนร่วมงานที่ทำงานในแผนกสวนผัก ครับ” พี่ชูวิทย์ พูด
“ดีครับ ทำไม?? พี่ชูวิทย์ ไม่ให้ภริยาหางานทำใกล้ๆ บ้านล่ะ จะได้มีรายได้อีกทาง” ผมพูด
“จะไปในเมืองก็ลำบาก ค่ารถไปกลับ วันละหลายตังค์ ไม่คุ้มค่าแรงงาน” พี่ชูวิทย์ตอบ
“ก็จริงดังที่พี่ชูวิทย์ว่า” ผมคิดคล้อยตามไปกับเหตุผล ที่เขาพูดมา
“วันๆ มีค่าใช้จ่ายมากน้อย แค่ไหนหรือ ” ผมถาม
“เกือบร้อย ครับ” พี่ชูวิทย์ พูด
“โอ้โห.. เงินเดือนพันกว่าบาท แล้วจะพอใช้เหรอ”
“ไม่พอน่ะสิครับ ผมต้องหารายได้พิเศษ หลังเลิกงาน รับจ้างซ่อมไฟฟ้า เดินสายในวันเสาร์อาทิตย์ ไปรับจ้างไถแปลงไร่สับปะรด ก็พอทู่ซี้ มาเป็นค่าข้าว -ค่าเหล้า ”
“บางอย่าง ลดรายจ่ายได้ ก็ต้องลดน่ะพี่ ลูกๆตั้งสามคน ”
“ครับ ”
ช่วงแรกๆที่เรารู้จักกัน ก็เพียงพูดคุยกันในฐานะเพื่อนร่วมงาน มันเป็นปกติวิสัยของผมที่ชอบจะเข้าหาเพื่อนร่วมงานในระดับล่าง ๆ เพราะจะได้ทราบถึงปัญหาชีวิตของแต่ละคน กรณีของครอบครัวของพี่ชูวิทย์ ถือว่าเป็นครอบครัวที่น่าเห็นใจที่สุด ของครอบครัวคนงานทั้งหมดที่ทำงานในที่เดียวกันกับผม
“นี่หากเรา ช่วยออกทุนให้พี่พรยืมเงิน เพื่อขายลูกชิ้น หมูปิ้ง ปลาหมึกปิ้ง อย่างน้อยก็คงได้กำไรเล็กๆน้อยๆ ทั้งหากเหลือจากการขาย ยังมาใช้เป็นกับข้าวไว้กินได้อีก ” ผมคิดในใจ
*****************************
เป็นความบังเอิญ ที่ผมย้ายจากหมู่บ้านกลุ่มสองและได้มาอยู่ที่หมู่บ้านกลุ่มหนึ่ง ที่เป็นบ้านพักอาจารย์ที่กินยาฆ่าแมลงเสียชีวิต และครอบครัวพี่ชูวิทย์ต้องย้ายมาที่แห่งใหม่เพราะเหตุจากอาจารย์ละแวกนั้นได้ร้องเรียนว่าครอบครัวเขามักทะเลาะวิวาท ส่งเสียงดังไม่เว้นแต่ละวัน บ้านพักหลังใหม่ที่ครอบครัวพี่ชูวิทย์อยู่ ค่อนข้างจะห่างจากบ้านพักอาจารย์หลังอื่นๆ นี่คือจุดเริ่มต้นที่ครอบครัวนี้ได้ใช้ชีวิตที่ดีกว่าแต่ก่อน
“ผมได้ห้องพักกว้างขวางขั้น เนื้อที่ด้านหลังบ้านก็มีมาก พอที่จะปลูกผักได้มากกว่าบ้านพักหลังเก่า เผื่อจะได้มาฝากขายที่สหกรณ์ร้านค้าของวิทยาลัยด้วย”พี่ชูวิทย์ พูด
“ผมมีแนวคิดว่า ช่วงนี้พ่อของพี่ชูวิทย์ ไปอยู่กับพี่ชายในเมือง ควรที่จะให้พี่พรเข็นรถขายกาแฟ รอบๆหมู่บ้าน อย่างน้อยก็ได้กำไรวันละสามสิบ-สี่สิบบาท ”ผมพูด
“พ่อผมเขาคงไม่ยินยอมให้เอา อุปกรณ์หากินส่วนตัวของเขา ไปใช้หรอก ” พี่ชูวิทย์ พูด
“งั้นเอางี้ พี่ชูวิทย์ เอาเศษอุปกรณ์ที่ชำรุดแล้วมาอ๊อกเป็นโต๊ะเพื่อวางอุปกรณ์ปิ้งลูกชิ้น ปิ้งปลาหมึกขาย ตรงหน้าวัด เพราะย่านนี้นักศึกษาค่อนข้างจะพลุกพล่าน ” ผมพูดเสนอแนะให้
“ผมต้องถามความสมัครใจของเมียผมก่อน” พี่ชูวิทย์พูด
ผมรอคำตอบอยู่สามวัน จึงได้ทราบว่าพี่พรเต็มใจและพร้อมที่จะเริ่มสู่วิชาชีพการค้่าขาย หลังจากพี่ชูวิทย์ทำโต๊ะเสร็จ จึงได้ขออนุญาตกับเข้าอาวาสว่าจะขอใช้พื้นที่หน้าวัด
“ตามสบายเลยโยม ยังไง ช่วยดูแลเรื่องความสะอาดด้วย ”
เงินลงทุนเริ่มต้นของพี่พรด้วยเงิน 600 บาท ที่ผมกู้ยืมเงินจากสหกรณ์ออมทรัพย์มาให้ใช้เป็นทุนซื้อวัตถุดิบต่างๆในการประกอบอาชีพ วันแรกของการขายของได้เรื่มขึ้นช่วงเวลา 16.00-20.00น.ซึ่งเป็นเวลาที่นักศึกษาเริ่มเลิกเรียน ลูกชิ้น ปลาหมึก หมูปิ้ง ขาบดิบขายดีเพราะมีนักศึกษาและชาวบ้านในละแวกนั้นมาช่วยอุดหนุน จนทำให้พี่พรและพี่ชุูวิทย์ ดีใจและมีกำลังใจ ผมเข้าไปถามไถ่เรื่องการค้าขาย ว่าเป็นอย่างไรบ้าง สองสามี-ภริยา ตอบด้วยรอยยิ้มว่า ขายดีอย่างผิดคาดเพียงเดือนเศษๆพี่ชูวิทย์ก็ได้คืนเงินที่หยิบยืมผมไปลงทุน
“คิดดอก อย่างไรครับ ” พี่ชูวิทย์ถาม
“ไม่หรอกครับ ถือว่าเป็นการช่วยเหลือและสนับสนุนให้พี่พรมีอาชีพ เพื่อหารายได้มาจุนเจือแก่ครอบครัวอีกทาง”
“ขอบคุณครับ.อาจารย์ ” พี่ชูวิทย์พูด ทั้งยกมือไหว้
ปัญหาต่อมา..คือ เวลาหลังลิกงานแล้ว ในเวลาช่วงค่ำๆ ที่เพื่อนร่วมงานของพี่ชูวิทย์มาร่วมนั่งดื่มสังสรรค์สุราที่บ้านของเขา
“ได้ข่าวว่า เมียเอ็งไปขายลูกชิ้นปิ้งที่หน้าวัดนี่ ” เพื่อนร่วมวงสุราพูด
“ใช่ เออนึกได้พอดี เลยว่ะ เพื่อน กับแกล้มพวกเราหมดพอดี เดี๋ยวข้าจะขี่รถเครื่องไปเอามาแกล้มเหล้าสักหน่อย” พี่ชูวิทย์พูด
ในวงสุราทุกคนต่างเห็นด้วยกับแนวคิดของเจ้าบ้าน พี่ชูวิทย์และคนดื่มสุราโดยส่วนมาก มักจะเป็นคนใจใหญ่ ใจกว้างเวลาเมา ครั้ง-สองครั้งคงมิมีปัญหาต่อต้นทุนหาย-กำไรหดของพี่พรแต่นี่..ทำกันทุกวันๆ จนเกิดมีปากมีเสียงทะเลากันระหว่างผัวเมีย พี่พรต้องหยุดการค้าไปโดยปริยาย ผมนึกอยู่แล้วเชียวว่า มันคงต้องมีวันนี้ อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
********************
แรกๆ ที่เห็นพฤติกรรมของพี่ชูวิทย์ ในด้านความรับผิดชอบต่อหน้าที่การงาน ยังนึกชมเชยว่าแม้นเขาจะดื่มสุรา หนัก แต่ก็ไม่ทำให้งานเสียหาย ยามเช้าในวันทำงาน..ผมกับเขามักจะพบกันที่โรงจอดรถของวิทยาลัย
“อาจารย์เข้าเมืองหรือครับ” พี่ชูวิทย์ทักทาย
“พี่…มาส่งลูกไปโรงเรียนหรือ ครับ ” ผมถาม
“ครับ” พี่ชูวิทย์ตอบสั้นๆ
ลูกสาวคนโตกับคนกลางของเขากำลังเรียนอยู่ชั้นประถมศึกษา ของโรงเรียนเทศบาลในเมือง เท่าที่สังเกตดูพี่ชูวิทย์ กับพี่พร จะคอยประคบประหงมลูกๆอย่างดี แม้เขาจะมีฐานะที่ย่ำแย่ แต่ชุดที่สวมใส่ให้ลูกไปโรงเรียนดูใหม่เอี่ยม ไม่ทำให้ลูกๆมีปมด้อย แม้เขาออกจะเป็นคนขี้เมา แต่กับลูกๆดูจะติดเขาไม่น้อย เห็นได้จากทุกครั้งที่ผมเคยไปเที่ยวและนั่งดื่มกับพี่ชูวิทย์ที่บ้าน ลูกๆของเขามักจะมานั่งข้างๆ
“ไปห่างๆ นะลูก ผู้ใหญ่เขาจะนั่งคุยกัน ” พี่พร เอ่ยปากบอกลูกๆทั้งสามคน
จากนั้นเธอก็หยิบกับแกล้มที่วางในจาน แบ่งไปให้ลูกคนละนิดละหน่่อย จากนั้นเด็กๆก็เดินออกไปพ้นจากวงสุราของพ่อ และไปเล่นกันตามประสาเด็ก
************************** สภาพของครอบครัวนี้ดูๆไปก็น่าเวทสงสาร ที่แม้ครอบครัวของเขาจะยากจนแต่ก็มีข้อที่ควรตำหนิคือ ทั้งๆที่รู้ว่ารายได้ต่อเดือนไม่เพียงพอก็ยังสู้อุตส่าห์สร้างหนี้สินกับการซื้อของกินของใช้ฟุ่มเฟือย โดยเฉพาะสินค้าที่เขาเครดิตทุกวันคือสุราและบุหรี่ น้ำอัดลม ขนมขบเคี้ยวซึ่งจะขาดไม่ได้เลย เดือนๆเขาต้องเป็นหนี้กับสหกรณ์ร้านค้าของวิทยาลัย ซึ่งเมื่อหักเงินเดือนในแต่ละเดือนแล้ว ก็ยังต้องติดลบอีกเดือนละเกือบพันบาท เงินยาไส้ในแต่ละวัน ในช่วงที่ลูกๆโตมากขึ้น ก็มีมากเป็นเงา ผมไม่เคยดูแคลนความยากจนของครอบครัวนี้ ทั้งยังไปนั่งสังสรรค์บ้างตามโอกาสที่มี จากครั้งหนึ่งที่ผมเคยช่วยออกทุนให้พี่พรได้มีอาชีพเสริมขายลูกชิ้นปิ้ง ปลาหมึกปิ้ง ทำให้คนในครอบครัวนี้รู้สึกดีกับผม ระยะหลังเราจึงมีความสนิทสนมกันมากขึ้นตามลำดัับ
“นี่เจ้าอิง จะจบม. 6 แล้ว เธอบอกกับผมว่าอยากเรียนต่อที่นี่ จะได้ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายมาก ผมจึงอยากขอปรึกษาอาจารย์ว่า มีความคิดเห็นอย่างไรกับที่ลูกสาวของผมพูด” พี่ชูวิทย์พูด
“ก็ดีนะ ที่ของเรา มีคณะบริหารธุรกิจ มันเหมาะกับเด็กผู้หญิง ที่อยากจะเรียน ”
“อิงๆ มาหาอาจารย์ขลุ่ยหน่อยเร็ว ” พี่ชูวิทย์พูด
อิง ลูกสาวคนโตของพี่ชูวิทย์ ซึ่งผมเห็นเธอมา ตั้งแต่อายุ6 - 7 ขวบ วันนี้เธอมีอายุ 17 ปีแล้ว เมื่อเธอได้มาปรึกษาเรื่องการเรียนแล้ว ผมจึงได้ให้คำแนะนำไป และเมื่อหลังจากเธอเรียนจบ ม.6 จึงสมัครเข้ามาสอบเรียนต่อในสาขาการจัดการหลักสูตร 2 ปี ขณะเรียนปี 1 เทอมสอง เธอก็ได้ตั้งครรภ์ขึ้นมา เวลานั้นมีเสียงนินทาจากอาจารย์บางคนค่อนขอดมายังพี่ชูวิทย์และลูกสาวพี่ชูวิทย์ จนผมรู้สึกแย่กับอาจารย์คนนั้น ที่มีทัศนคติไม่ดีกับลูกศิษย์ของตนเอง
"ใจแตก ตั้งแต่ยังเรียนเลย จะเรียนจบหรือเปล่าเนี่ยะ เด็กคนนี้”อาจารย์ผู้หญิงคนนั้น พูด
ทางเดียวที่จะให้อิงมีอนาคตที่ดีได้ ผมจึงแนะนำให้พี่พรทำเรื่องรักษาสภาพการเรียนไว้ก่อน และให้อิงไปอยู่ต่างจังหวัดเพื่อทำการคลอดบุตรให้เรียบร้อยเสียก่อน แล้วจึงกลับเข้ามาเรียนต่อ ทุกอย่างเป็นไปตามแผนที่ผมแนะนำ อิงกลับมาเรียนต่อจนจบปวส. ขณะเดียวกันนั้น ผมก็ยังเข้าไปเที่ยวบ้านชูวิทย์เช่นเดิม ทั้งยังแนะนำให้อิงไปหางานทำที่นิคมอุตสาหกรรมที่มาบตาพุด สำหรับเอมลูกสาวคนที่สองเป็นคนที่ไม่ชอบทางการเรียน หลังเรียนจบ ม.3 ก็เลิกการเรียน มารับจ้างทำงานเป็นกรรมกรรายวันและมีสามีในที่สุด ส่วนคนเล็กสุกคืออาย เดินตามรอยพี่สาวคนโต และได้สำเร็จการศึกษาในสาขาการตลาด ผมได้ช่วยให้ครอบครัวนี้ มีการศึกษาได้ในระดับหนึ่ง
หลังจากที่ผมมีครอบครัวแล้ว การไปมาหาสู่กับครอบครัวนี้ยังไม่เปลี่ยนแปลง สมาชิกในบ้านนี้ได้เพิ่มขึ้นมาอีกสองคนคือลูกชายของอิงและลูกสาวของเอม ศักของพี่ชูวิทย์และพี่พร เป็นทั้งปู่ตา - ย่ายายไปในคราวเดียวกัน เขาหลงรักหลานทั้งสองอย่างมาก หลายครั้งๆ ผมต้องพึ่งพา พี่ชูวิทย์ให้ขับรถของวิทยาลัยไปส่งผมในเมือง ทั้งในเวลาและนอกเวลาราชการ แรกๆเขาเต็มใจและยินดีที่จะช่วยผมโดยมิอิดเอื้อน แต่ครั้นนานๆเข้าเขามักจะงอแงและบ่ายเบี่ยงอ้างโน่นอ้างนี่สารพัด
“รบกวนพี่ชูวิทย์ ขับรถให้หน่อย ผมจะพาลูกไปหาหมอที่คลินิก น่ะ” ผมพูด
“ไม่ว่างครับ ” พี่ชูวิทย์ ตอบ
ทางเดียว ที่ผมคิดว่าจะช่วยทำให้พี่ชูวิทย์เปลี่ยนคำพูดและแนวคิดได้ จึงไปคุยกับพี่พรให้ช่วยเจรจา
“อาจารย์ขลุ่ย เขาให่้เงินค่าเสียเวลาร้อยนึง ไปเถอะพี่ ” พี่พร บอกกับสามี
“ก็ได้ งั้นอาจารย์ไปรอที่บ้านเลย ”พี่ชูวิทย์พูด
ภายหลังเวลาที่ผมจะไปคลินิก ยามที่ลูกป่วย ต้องมีน้ำมัน(เงิน)หล่อลื่นทุกครั้ง เขาจึงจะเต็มใจไป ซึ่งต่างกับตอนที่รู้จักกันใหม่ๆ ผมต้องกล้ำกลืนยอมเสียเงินเพื่อซื้อความสะดวก ทั้งๆที่เป็นหน้าที่ของเขา ที่จะต้องให้บริการ ครั้งหนึ่ง ที่เงินผมหายมาทราบว่าเขา ได้แอบเข้ามาลักกระเป๋าเงินภายในบ้านของผม หลักฐานที่พบคือกระเป๋าเงินของผมอยู่ภาย ในบ้านของเขา
“พี่ชูวิทย์ กระเป๋าเงินของผม มาอยู่ในบริเวณบ้านพี่ ได้อย่างไร ” ผมพูด
“สงสัย หมาที่ผมเลี้ยงมันไปคาบมา ” พี่ชูวิทย์ตอบ
เงินจำนวน 500 บาทของผม ที่หายในเวลานั้น มีมูลค่าไม่น้อย ผมเริ่มระแวงกับพฤติกรรมของสองสามี-ภริยาคู่นี้มากขึ้นจากที่เคยไว้วางใจ กลับต้องมาระวังภัยใกล้ตัว ข่าวเรื่องการลักทรัพย์ภายในที่ทำงานหนาหูทุกคนมองมาที่พี่ชูวิทย์ เป็นเพราะ เขามีเงินเดือนน้อย มีหนี้สินแต่บางครั้งใช้จ่ายฟุ่มเฟือยเกินตัว วิทยาลัยฯเคยให้ตำรวจมาพิสูจน์ลายนิ้วมือในห้องทำงานของอาจารย์คนหนึ่งที่ถูกลักทรัพย์
“ขอให้พนักงานทุกคน มาพบตำรวจเพื่อตรวจสอบลายนิ้วมือ กรณีที่มีคนร้ายเข้าไปลักทรัพย์ ในห้องทำงานของอาจารย์ด้วย”ผู้อำนวยการพูด ในที่ประชุมพนักงาน
หลังจากที่มีการตรวจพิสูจน์ลายมือแล้ว ผลปรากฎว่าลายมือไปตรงกับพี่ชูวิทย์ แต่ด้วยเขาเป็นคนงานที่มีความอาวุโสและไม่เคยกระทำความผิดมาก่อน ผู้อำนวนการจึงขอให้เป็นเรื่องภายในขององค์กร เพื่อจะให้โอกาสเขากลับเนื้อกลับตัว และเขาก็ได้ทำสัญญาอย่างเป็นลายลักษณ์อักษรว่า จะไม่ประพฤติตนเป็นคนลักขโมยอีกต่อไป ช่วงนี้ผมกับเขาห่างเหินแทบจะไม่มองหน้ากัน ระยะหลังที่ลูกสาวของเขาได้งานทำและมีรายได้ส่งมาให้ ยิ่งทำให้เขามีท่าที ยะโสมากขึ้น สภาพความขยันและความรับผิดชอบของเขาไม่เหมือนดังแต่ก่อน เขาต้องถูกตำหนิและเคยถูกภาคท้ณฑ์อีกหลายครั้ง เป็นเพราะผู้บริหารยังมีความเมตตา เพราะเห็นว่าปีนี้ เป็นปีสุดท้ายที่เขาจะเกษียณอายุราชการ จึงผ่อนปรนเลี้ยงลูกน้องไว้ เพื่อให้มีโอกาสรับบำเหน็จเงินก้อนสุดท้ายไว้เลี้ยงตนช่วงบั้นปลาย
เสียงนินทา มีทุกวัน อาจารย์บางคน ที่ไม่ชอบนิสัยของเขาที่เปลี่ยนไปอย่างมากต่างสาปแช่ง..เขา แม้นผมกับเขาจะไม่ลงรอยกัน แต่ในใจก็อดห่วงเขามิได้ นี่..เดือนสุดท้ายแล้วที่เขาจะเกษียณในใจนึกภาวนา ขอให้เขาครบวาระไปด้วยดี เพียงก่อนหน้าจะถึงวันที่ 30 กันยายน 5 วัน พี่ชูวิทย์ ก็ต้องมาประสบอุบัติเหตุถูกรถบัสประจำทางลำปาง-เชียงราย ชนจนเสียชีวิตคาที่ ในเวลาโพล้เพล้
“พี่ชูวิทย์ผิดเต็มประตู รถจักรยานยนต์ ไม่มีไฟ ขับย้อนศร รถไม่มีประกันและยังไม่เสียภาษีทั้งคนขับเมาสุราด้วย ” ทุกเสียงพูดไปในแนวทางเดียวกัน
พี่ชูวิทย์ ต้องเสียชีวิตก่อนจะครบวันเกษียณอายุเพียง 5 วัน ศพของเขาทางวัด ได้ช่วยอนุเคราะห์โลงศพ และยังช่วยดำเนินการด้านพิธีกรรมให้ อันเนื่องจากที่เขาเคยเข้ามาช่วยติดตั้งระบบไฟฟ้าและประปาให้ทางวัด และยังคุ้นเคยกับหลวงพ่อดี ผมได้เข้ามางานศพของพี่ชูวิทย์ในคืนวัน ก่อนที่จะมีการฌาปนกิจศพ และได้พบกับลูกสาวทั้งสามของพี่ชูวิทย์ ทุกคนได้เข้ามาให้การต้อนรับผมเป็นอย่างดี
“นึกว่าอาจารย์ จะไม่มาเสียอีก ยังไงก็ให้อภัย พ่อของหนูด้วย ” อิงพูด
“ผมนึกแล้วเชียวว่่า สักวันพ่อของเรา จะต้องมาจบชีวิตด้วยอุบัติเหตุ เคยเตือนแล้วว่า รถไม่มีไฟ และอย่าขับรถย้อนศร แกก็ไม่เชื่อ ”ผมพูด
“หนู ก็เคยบอกพ่อแล้ว แกก็รั้น” อิงพูด
“เข้มแข็งนะ เราเป็นพี่คนโต แล้วจากนี้ไป แม่ของเรา จะอยู่กับใครล่ะ ” ผมพูด
“จะปรึกษากัน หลังจากเสร็จงานของพ่อ ค่ะ ”
“แม่เรานี่ ร้องไห้จนตาบวมเลย นะ ”
“ค่ะ ”
“จากนี้ไป.แม่เรา คงเหงา ที่ไม่ต้องมีปากมีเสีีียงกันอีกแล้ว ล่ะ”
“ถึงแม้แม่จะถูกพ่อตบตี ตลอดมา แต่แม่ ก็ไม่เคยโกรธพ่อเลย นะคะอาจารย์”
“หมดเวรหมดกรรมเสียที นึกว่าเค้าทำบุญ มาแค่นี้นะ อิง ” ผมพูดปลอบใจ
“ค่ะ ” อิงพูด
ผมขอตัวมาฟังพระสวดอภิธรรมจนจบ จึงขอตัวกลับระหว่างทางกลับจากวัด ก็นึกถึงเรื่องราวต่างๆในอดีตที่ผมกับเขาได้เป็นเพื่อนร่วมงานกันมา ชีวิตของคนเรา..มันก็เท่านี้ ไม่จีรังและยั่งยืน…
…เพียงแค่ อีก 5 วัน จะถึงเส้นชัยอยู่แล้ว แต่. พี่ชูวิทย์ก็ไม่สามารถไปถึงได้
นี่เพราะ… ความประมาทเป็นเหตุแห่งความตายแท้ๆ
ขลุ่ย บ้านข่อย
(๑-๑๑-๖๗ )
เนื้อเรื่อง
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ผลงานอื่นๆ ของ ขลุ่ย บ้านข่อย ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ ขลุ่ย บ้านข่อย
ความคิดเห็น